หลังจากที่เคยตั้งใจไว้ว่า อย่างไรก็ต้องไปเยือนดินแดนมหัศจรรย์ แห่งมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้นี้ให้ได้ ทำให้ต้องวางแผนการเิดินทางครั้งนี้อย่างละเอียด
เนื่องจากนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ที่น่าหลงใหล ทั้งทุ่งหญ้าสีเขียวขจีไกลสุดสายตา เทือกเขาสูงที่มีหิมะหนาปกคลุม ทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มแข่งกับท้องฟ้า บ่อน้ำพุร้อน บ่อโคลน ที่พลาดไม่ได้คือ ฟยอร์ด และซาวน์ที่สวยงามจนเป็นมรดกโลก
ประเทศนิวซีแลนด์ ประกอบไปด้วย เกาะใหญ่ 3 เกาะ คือ เกาะเหนือ (North Island) เกาะใต้ (South Island) และเกาะสจ๊วต (Stuart Island) ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ เมืองหลวงของประเทศนิวซีแลนด์ คือ เมืองเวลลิงตัน แต่เมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด และเป็นเมืองท่าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของที่นี่ คือ เมืองโอ๊คแลนด์
การเดินทาง
เราใช้เวลาเดินทาง 11 ชั่วโมง กับสายการบินแห่งชาติจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงโอ๊คแลนด์ มองจากหน้าต่างของเครื่องเจ้าจำปี แล้วดีใจที่เห็นจุดหมายของเราสักที ยิ่งกว่านั้นอากาศก็ดูเป็นใจเหมือนกับจะต้อนรับเราอย่างอบอุ่น
ในทีุ่สุดเราก็ฝ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ไม่ค่อย
น่าประทับใจนักสำหรับนักท่อง เที่ยวที่ประวัติดีอย่างเรา แต่ก็นึกดีใจแทนพลเมืองกีวี ที่ด่านหน้าของประเทศทำงานกันอย่างเข้มงวด แบกกระเป๋าใบโตไปยังเคานเตอร์รถเช่า ซึ่งเห็นได้ง่ายในอาคารผู้โดยสาร เราตกลงกันว่าจะขับรถเที่ยวกันเองอย่างผู้มีประสบการณ์ (น้อย) เพราะสถานที่แต่ละที่ค่อนข้างไกล คงไม่สะดวกับแผนการเดินทางที่มีเวลาจำกัด บวกกับความโลภที่อัดตารางการเิดินทางอย่างแน่นเอี้ยดจากเช้าถึงเย็น การเช่ารถที่นี่ง่ายและสะดวกมาก เพียงแค่ใช้ใบขับขี่สากล พาสปอร์ต และบัตรเครดิต พวกเรากรอกเอกสารต่างๆ จนครบ ก่อนที่จะจ่ายเงิน พนักงานถามว่าเราจะซื้อประกันอุบัติเหตุในการเดินทางครั้งนี้หรือเปล่า....
ไม่มีการนัดหมาย พวกเราทุกคนส่ายหัวเป็นการปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา ที่ตัดสินใจเสี่ยงดวงครั้งนี้ เพราะเงินค่าประกันนี้จะคิดตามเวลาที่เช่ารถ และเป็นเงินค่อนข้างเยอะ ซึ่งอาจจะกระทบกับพ็อคเก็ตมันนี่ที่ค่อนข้างจำกัดได้ แต่ถ้าเทียบกับการที่เราต้องจ่ายเวลาเกิดอุบัติเหตุแล้ว ก็คุ้มค่าเป็นอย่างมาก หลังจากเสร็จทุกขั้นตอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมออกไปสูดอากาศขั้วโลกใต้กันอย่างเต็มปอด
Day1 : Auckland (The city of Sails)
การ ขับรถเข้าเมืองแห่งการเล่นเรือใบนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ชินทางแล้ว ถือว่าเข้าขั้นปราบเซียนกันเลย ถึงแม้ว่ารัฐบาลกีวีจะทำไฮเวย์มากมายทั้งเข้าเมือง เลี่ยงเมือง เพื่อความสะดวกและบรรเทาปัญหาการจราจรก็ตาม แต่ด้วยความที่เจ้าถนนและไฮเวย์เหล่านี้มีมากจนพันกันไปพันกันมา แถมรถบนไฮเวย์ก็วิ่งเร็วกว่าบนทางปกติ ทำให้พวกปลอดประกันอย่างเราถึงกับเหงื่อตกกันเลยทีเดียว
ลงจากไฮเวย์ ก็จะเข้าสู่ Queen Street ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่เราจะนอนกันคืนนี้ หลังจากเช็คอิน อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อย ก็ไม่รอช้า รีบออกตะลุยเมืองกันเลยทันที
พวกเราขับรถมาตามถนนหน้าโรงแรม ซึ่งถือว่าเป็นถนนหลักของเมืองเลยก็ว่าได้ ผ่านย่าน Waterfront ที่มีตึกที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น The Ferry Building ที่ตัวตึกทำจากหินทราย หรือ Old Customhouse สีขาวหลังโตที่ถูกสร้างในแบบ French Renaissance Style
ตลอดเส้นทางไปจนถึง Tamaki Drive ซึ่งเป็นถนนที่เห็นวิวของอ่าว Waitemata Harbour และ Rangitoto ที่สวยงามอย่างชัดเจน ระหว่างทางจะเห็นเรือใบจอดอยู่เต็มไปหมด สมกับฉายาของเมืองจริงๆ พอท้องเริ่มส่งเสียงเตือน อากาศก็เปลี่ยนทันที จากแดดที่ร้อนแรงจนหน้าแทบมืด กลายเป็นฟ้ามืดและลมแรงจนพวกเรานึกกลัว
มื้อเเรกที่รอคอย กับ Bluff Oyster
ขับ รถฝ่าลมฝนอยู่ประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่หมาย (แบบทั้งหัวทั้งตัวเปียกยิ่งกว่าเดินผ่านถนนข้าวสารในวันสงกรานต์) อาหารมื้อแรกของพวกเรา คือ อาหารอิตาเลียน อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งตกใจว่า ทำไมถึงมาทานอาหารอิตาเลียนไกลถึงขั้วโลกใต้ อย่างที่เราๆ รู้กันว่า นิวซีเเลนด์เป็นประเทศที่มีวัตถุดิบด้านการเกษตรที่ยอดเยี่ยม แถมประชากรที่นี่ก็อพยพมาจากหลายประเทศ ทั้งทางยุโรปและเอเชีย ทำให้มีวัฒนธรรมการกินที่มีความหลากหลาย
มาเข้าเรื่องของเรากันต่อ ร้านที่เราจะไปนี้ เจ้าของร้านอพยพมาจากต้นตำรับเมืองมักกะโรนี พวกเราสั่งอาหารหลายจานทั้งพิซซ่า พาสต้า ซุปต่างๆ แต่อาหารเรียกน้ำย่อยของเรานี่สิเด็ดสุด หอยนางรมสดๆ จากเมืองบลัฟฟ์ หอยนางรมที่ นี่มีชื่อเสียงในเรื่องความสด สะอาด แถมกินคู่กับไวน์เพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายแล้วมีความสุขสุดๆ พอหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน ร่างกายก็เริ่มถามหาเตียงนุ่มๆ ในห้องอุ่นๆ แต่เรามีเวลาจำกัด สำหรับเมืองนี้ ทำให้จำต้องสลัดความขี้เกียจทิ้ง แล้วออกเดินทางต่อทันที หลังจากฝนหยุดตกแล้ว ผู้คนมากมายออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ริมถนนเรียบอ่าวกันมากมาย ทั้งวิ่ง ขี่จักรยาน แล่นเรือใบ ทำให้รู้ว่าผู้คนที่นี่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้งกันจริงๆ
พวกเราเดิน ย่อยอาหาร ชมวิวกันซักพัก ก็ขับรถต่อ ภูมิประเทศที่นี่ค่อนข้างแปลก เพราะมีลักษณะเป็นเหมือนภูเขาที่มียอดเป็นแอ่งใหญ่ๆ เนื่องจากเมื่อก่อนที่นี่มีภูเขาไฟมากมาย เมื่อดับแล้วปากของปล่องภูเขาไฟจึงกลายเป็นเเอ่งขนาดใหญ่ที่มีหญ้าสีเขียวปก คลุมอยู่เต็มไปหมด
พวกเรากลับเข้าโรงแรมเพื่อจะแอบงีบเล็กๆ (เนื่องจากการที่จะหลับบนเครื่องได้นั้น ยากเอาการทีเดียว) กลายเป็นงีบใหญ่ ตื่นมาีอีกทีถึงกับตกใจ ห้าทุ่มแล้วเหรอนี่ ปลุกคนข้างๆ ให้ลุกขึ้น เพื่อออกไปท่องเมืองยามราตรีกันต่อ จะที่ไหนได้อีกถ้าไม่ใช่ที่ Sky Tower ที่ถือว่าเป็น Landmark ที่สำคัญของเมืองนี้ ตึกนี้สูงถึง 328 เมตร อยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมความบันเทิงสำหรับเมืองนี้ ทั้ง Casino ร้านอาหาร และ Sky Jump กิจกรรมสุดเจ๋งที่น่าหวาดเสียว จบกิจกรรมนี้ต้องขอตัวไปนอนเรียกสติก่อนนะคะ
Day 2: Rotorua: Spa City of New Zealand
บรรยากาศ ตอนเช้าในเมือง Auckland ซึ่งคึกคักที่สุดของชาวกีวี ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าวุ่นวายเลย กลับทำให้รู้สึกถึงความมีระเบียบของประชากร นั่งทาน Egg Benedict ตามด้วยขนมปัง แล้วตบท้ายด้วยกาแฟจนเกือบจุก เนื่องจากวันนี้เรามีโปรแกรมขับรถที่แน่นเอี๊ยดตลอดทั้งวัน
หลังจาก ตกลงแกมบังคับ ฝ่ายชายจึงต้องเป็นคนขับรถกะแรก เราแบ่งการเดินทางออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคือ จาก Auckland - Hamilton - Waitomo Caves (Distance: 195 Km., Driving: 2 Hr. 50 m.) ส่วนช่วงที่สองเริ่มจาก Waitomo Cave - Rotorua (Distance: 156 Km., Driving: 2 Hr.) เนื่องจากฝ่ายหญิงเป็นผู้วางแผนการเิดินทาง จึงสามารถเลือกเส้นทางที่สั้นกว่าได้โดยที่อีกฝ่ายไม่เฉลียวใจ
ออก จากเมืองโดยเส้นทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งเราเพิ่งจะขับเข้าเมืองจากแอร์พอร์ต ตรงยาวไปตลอดทาง แต่ต้องคอยควบคุมความเร็วรถไม่ให้เกินกำหนด มิฉะนั้นคุณอาจเป็นผู้โชคดีถูกถ่ายรูป (จากกล้องตรวจจับความเร็ว) หรือถูกขอคุยด้วย (จากรถตำรวจ) ซึ่งทั้งสองอย่านี้ เราจะสามารถพบเจอตลอดการเดินทาง เราขับผ่านเมืองเล็กๆ มากมายประมาณเกือบสองชั่วโมง จนถึง Hamilton ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เมืองเดียวที่เราจะเจอ จึงแวะเข้าห้องน้ำและเดินเล่นไปจนถึง Waikoto River ซึ่งมีความยาวตลอด Waikato Region ถึง 425 กิโลเมตรด้วยกัน ถือว่าเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของประเทศ เป็นหัวใจสำคัญที่ส่งแรงดันน้ำไปเลี้ยง Hydro dams ทั้งหมดถึง 8 เขื่อนด้วยกัน
เดินทางต่อโดยเลี้ยวไปตามทางหลวงหมายเลข 4 เพื่อไปยังทางตอนกลางของเกาะเหนือ ประมาณเกือบชั่วโมงถึงยอดเขา เราก็จะเจอรถจอดกันอย่างหนาแน่นตรงทางเข้า Waitomo Caves อากาศค่อนข้างเย็นกว่าในเมือง พนักงานแบ่งนักท่องเที่ยวออกเป็นกลุ่มๆ ถ้ำนี้มีอายุถึง 30 ล้านปี และได้ถูกไฟไหม้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราสองคนตื่นเต้นกับสภาพแปลกตาของต้นไม้ใหญ่ที่ไฟไหม้แล้วเพิ่งกลับมาผลิใบ อีกครั้ง ทางเข้าถ้ำเป็นประตูนิรภัยทันสมัยบานใหญ่ดูลึกลับอย่างกับที่ซ่อนสมบัติใน หนังผจญภัย พอเดินลงไปข้างล่างจะมีเรือไม้รอรับอยู่ ไม่ลังเลตัวแทนชาวไทยอย่างพวกเรารีบนั่งท้ายเรือทันที มองไปบนเพดานถ้ำต้องตะลึงจนอ้าปากค้าง แสงระยิบระัยับเล็ก เป็นล้านๆ ดวง สวยงามจนพูดไม่ถูกเหมือนความฝัน แต่พอรู้ว่าแสงเหล่านั้นมาจากหนอนตัวยาวเรืองแสง น้ำลายย้อยที่ห้อยจากเพดานถ้ำ ก็หุบปากแทบไม่ทัน กลัวน้ำลายอาจหยดพลาดได้ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าตัวเล็กๆ พวกนี้ทำให้ภายในถ้ำมืดๆ กลายเป็นถ้ำที่สวยแบบมหัศจรรย์
และแล้วก็ถึงเวลาเปลี่ยนกะขับรถ เราเดินทางโดยทางหลวงหมายเลข 5 ซึ่งจะพาเราไปยังฝั่งตะวันออกของเกาะเหนือ ฟ้าเริ่มครึ้มทำให้ต้องเร่งสปีดเพื่อจะไปให้ถึงเมือง Rotorua ก่อนที่จะมองไม่เห็นอะไรเลย เอ๊ะ กลิ่น ตุๆ หันไปเหลือบมองพร้อมกับป้ายความผิด (ในใจ) ให้กับคนข้างๆ ซึ่งตอนหลังก็เปิดเผยว่า คิดเหมือนกันว่าทำไมอยากเข้าห้องน้ำก็ไม่บอกแอบส่งกลิ่นอยู่ได้ หลังจากแอบบ่านกับตัวเองอยู่นาน ก็นึกขึ้นได้ว่า เราอาจจะถึงจุดหมายของเรา "เมืองกำมะถัุน" แล้วก็ได้
Rotorua ถือเป็นเมืองหลวงของวัฒธรรมประเพณีของชาวเมารี และยังเป็นเมืองหลวงของการแช่น้ำพุร้อน เสน่ห์ของเมืองอยู่ที่การจัดผังเมืองที่ไม่ซับซ้อน บ้านหลังเล็กๆ ทะเลสาบสีสวยๆ กับควันขาวๆ ที่พวยพุ่งให้เห็นอยู่ตลอดเวลา มื้อเย็นของพวกเราเป็นอาหารพื้นเมืองที่เรียกว่า "Hangi Dinner" เป็นอาหารที่ปรุงสุกบนหินภูเขาไฟ รสชาติเนื้อสัตว์จะคล้ายๆ กับการย่าง แต่เนื้อจะมีความชุ่มชื่นและกลิ่นหอมกว่า บนเวทีมีทั้งโชว์การเต้นและร้องเพลงของชาวเมารี ที่สำคัญฝ่ายชายได้ขึ้นไปร่วมแสดงท่าเต้นแลบลิ้นปลิ้นตาด้วย เล่นเอาฝ่ายหญิงหัวเราะเสียท้องแข็ง
Day 3:
เช้านี้พวกเราตื่นเช้ากันเป็นพิเศษ เลยรีบออกไปตะลุยก่อนที่กรุ๊ปทัวร์ต่างๆ จะมากันจนแน่นขนัด เราเริ่มต้นด้วยการออกไปเดินเล่นตามจุดสำคัญในเมือง ที่แรก ตึุก I-site ตึกเด่นทรงสวยที่อยู่ใจกลางเมือง แถมยังเป็นจุดที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาหาข้อมูลกันอย่างแน่นขนัด เจ้าหน้าที่ก็น่ารักเพราะให้คำแนะนำอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับรอยยิ้ม เดินเลาะริมทะเลสาปไปเรื่อยๆ จะเจอ Rotorua Museum ตึกสวยสีน้ำตาลพร้อมสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งโปสการ์ดเกือบทุกใบของเมืองนี้จะต้องมีรูปตึกนี้อยู่ ฝั่งตรงข้ามเป็น Polynesian Spa เป็นสปาที่ติดอันดับโลก แต่เราไม่ได้ใช้บริการที่นี่ เนื่องจากห้องอาบน้ำเดี่ยวอยู่ระหว่างปรับปรุง ครั้นจะให้ใช้ห้องรวมก็ยังใจไม่กล้าพอ
ขับรถออกนอกเมืองเพื่อไป Rainbow Springs Nature Park & Kiwi Encouter สถานที่เดียวกัน แต่เราสามารถดูได้ทั้ง Rainbow trout ตัวมหึมา น่าเอาไปทำปลานึ่งซีอิ๊ว กับเจ้านกกีวีขี้ตกใจ ที่ทางการอนุรักษ์ไว้ แถมประคมประหงมอย่างกับไข่ในหิน ดูนกดูปลาพร้อมกับหลบฝนอย่างสนุกสนาน ก็เดินทางต่อไปยัง Agrodome เพื่อไปดูโชว์ของเจ้าแกะน้อยที่มีหลากหลายสายพันธุ์ กับความแสนรู้ของสุนัขต้อนแกะ โดยเราสามารถเลือกภาษาได้จากหูฟังที่เจ้าหน้าที่แจกให้ ท้องเริ่มร้องจึงชวนคนข้างกายไปที่ร้าน Pig&Whistle ร้านยอดนิยมของที่นี่ เข้าไปแล้วรับรองไม่ผิดหวัง เมนูง่ายๆ แต่หาทานอร่อยยาก Fish & Chips, Beef Burger, Seafood Chowder ตบท้ายด้วยเบียร์แก้วใหญ่อิ่มแบบมีความสุขสุดๆ
สถานที่ที่ตั้งใจมาเยือนที่สุด คือ TaPuia อ่านว่า เต-ปุย-อา แปลว่า น้ำพุร้อน เป็นประตู่สู่อาณาจักร์ชาวเมารี ทางเข้าใหญ่โตอลังการ ภายในกว้างขวางมาก ภายในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมชาวเมารี ส่วนที่สองคือ ศูนย์รวมความหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่มีทั้งบ่อน้ำพุร้อน และบ่อโคลนเดือดนับสิบๆ บ่อ เรียงรายกันอย่างกับมีคนนำเอามาตั้งไว้ ซึ่งเร็วๆ นี้ รายการยอดฮิตอย่าง The Amazing race Asia Season 2 ก็เพิ่งจะมาเยี่ยมเยียนที่นี่ไป แถมพิธีกรสุดหล่ออย่าง Alan Wu ก็ได้กล่าวว่า "This is one place you won't ever get bored....or disappointed
ประชากรประมาณ 67,600 คน ช่วงเวลาที่ควรไป มกราคม - เมษายน (18-20 องศาเซลเซียล) Must see: Rotorua Meseum (พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง) และ TaPuia เต-ปุย-อา Must do: แช่น้ำแร่ธรรมชาติ กับบริการ Spa ที่ Polynesian spa เป็นสปาที่ติดอันดับโลก Must Eat: Pig&Whistle Pub และอาหารพื้นเมืองชาวเมารี Hangi Dinner
Day 4 Ratorua - Taupo - Wellington
อาจ จะแปลกไปซะหน่อย ที่เราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการไม่ทานอาหารเช้า เพราะอยากจะเก็บพื้นที่เอาไว้ให้กับเมนูพิเศษที่ต้องขับรถไปประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อจะไปถึงเมืองเล็กๆ แต่สวยติดอับดับอย่างเมืองเทาโป (Taupo) พวกเราได้จองโต๊ะกับร้านอาหารนี้ตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทย ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ลิ้มลองความอร่อยของอาหารมือนี้ซักที อุ้ย มัวแต่เพลินเกือบขับเลย ถึงแล้ว "Huka Prawn Farm" ฟาร์มน้องกุ้งน้ำพุร้อนธรรมชาติครบวงจร ที่มีฟาร์มน้องกุ้ง, ปลาเทร้าท์, บ่อต่อปลา, แช่น้ำร้อน แต่ทีเด็ดของเราอยู่ที่การได้ชิมกุ้งของที่นี่ ภายในฟาร์มมีร้านอาหารที่มีวิวเป็นแม่น้ำ Waikoto อาหารจานเด็ด คือ กุ้งต้ม เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ แต่เนื้อหวานมาก พวกเราติดใจถึงกับต้องสั่งมา 2 ชุดด้วยกัน หลังจากอิ่มแปล้ เราก็ถือโอกาสแวะเที่ยวชมเมืองซะหน่อย (แหม เดี๋ยวจะหาว่าขับมาซะไกลเพื่อมาทานเจ้าน้องกุ้งอย่างเดียว) จุดเด่นๆ ของเมืองนี้คือ Huka Fall เป็นน้ำตกเล็กๆ ไม่สะดุดตา แต่สีน้ำเิงินเข้มของน้ำนี่สิ ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากมายแวะถ่ายรูปกัน อีกที่หนึ่งคือ Lake Taupo ทะเลสาบที่ความสวยติดอันดับ 1 ใน 5 ของทะเลสาบในนิวซีแลนด์
โอ้เอ้กันอยู่ซักพัก เราก็เริ่มเดินทางต่อ เพราะเราต้องขับรถรวดเดียว 5 ชั่วโมง เพื่อให้ไปถึงเวลลิงตัน (Wellington) ก่อนค่ำเล่นทำเอาฝ่ายชายถึงกับหมดกำลังใจพร้อมออกอาการเบื่อพวงมาลัย
เวลลิงตัน เป็นเมืองหลวงของนิวซีเเลนด์ ตั้งอยู่บริเวณตอนปลายสุดของเกาะเหนือ ซึ่งจะเป็นแหล่งที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาลและเมืองนี้ได้รับสมญาว่าเป็น Windy City หรือเมืองลมแรง เพราะอยู่ในจุดรับลมที่ผ่านช่องแคบคุกเข้ามา ในบางครั้งต้องมีการขึงเชือกริมทางเท้าเพื่อให้คนเดินถนนมีที่ยึดซึ่งจะเกิด ขึ้นในช่วงเปลี่ยนฤดู พวกเราฝ่าลมขึ้น Wellington Cable Car เพื่อขึ้นไปชมวิวของเมืองที่เป็นบ้านหลังเล็กๆ สีสดเหมือนภาพวาด ก่อนจะกลับเข้าโรงเเรมเพราะทนเดินต้านลมไม่ไหว
Day 5 Wellington-Picton-Kaikoura
โดย ทั่วไปแล้วนักท่องเที่ยวจะแวะผ่านเวลลิงตัน เพื่อลงเรือข้ามช่องแคบคุก (Cook Strait) ที่มีความกว้าง 18 กิโลเมตร ไปยังท่าพิกตัน (Picton) ของเกาะใต้ แต่ไม่ได้แวะเที่ยวเวลลิงตัน ความจริงแล้วเวลลิงตันยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้เที่ยวชมไม่น้อยเลยทีเดียว เสียดายที่พวกเราก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน หลังจากที่คืนรถตรงท่าเรือแล้ว ก็รีบตรงไปขึ้นเรือเที่ยวแรกทันที โดยพวกเราใช้เวลา 3 ชั่วโมงบนเรือเฟอร์รี่ เมื่อถึงท่าเรือพิกตัน พวกเราก็หอบกระเป๋าที่โตขึ้นตามจำนวนวัน ไปรับรถกับบริษัทเช่ารถที่ได้จองกันไว้แล้ว เวลาสั้นๆ แ่ค่2 ชั่วโมงกว่าจากพิกตันไปยังไคคูร่า (Kaikoura) นั้น ทำให้รู้สึกยังไม่เต็มอิ่มกับความสวยงามของถนนที่ตัดลัดเลาะระหว่างภูเขาสี เขียวกับมหาสมุทรแปซิฟิกสีน้ำเงินเข้มได้เลย ไคคูร่าในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางของเมืองล่าปลาวาฬ แต่ปัจจุบันเป็นเมืองตากอากาศ
ที่พักของเราวันนี้เป็นโมเต็ลหลังน่า รักสีขาวตรงข้ามกับทะเลแถมเจ้าของยังใจดีแบบสุดๆ อีกต่างหาก พร้อมกับแนะนำที่เที่ยวต่างๆ ในเกาะใต้มากมาย ถ้าใครมาไคคูร่าแล้วไม่ได้ทานกุ้งมังกร ก็ถือว่ายังมาไม่ถึง ไอ้ครั้นจะสั่งกุ้งมังกรกันคนละตัวแบบฝรั่งโต๊ะข้างๆ ก็ไม่ไหว เลยสั่งมาแค่ 1 จาน พร้อมหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาวอีกหนึ่งจาน บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด!
Day 6 Kaikoura - Christchurch
ต้อง ตื่นแต่เช้ากว่าปกติเพราะว่าวันนี้เราจะไปดูปลาวาฬเสปิร์มกัน เจ้าของโมเต็ลที่แสนจะน่ารักอุตส่าห์โทรเช็คสภาพอากาศให้พวกเราด้วย เพราะการจะออกไปดูปลาวาฬนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นสำคัญ ต้องยอมรับว่าชาวนิวซีแลนด์รู้จักที่จะรักษาธรรมชาิติของเค้า พร้อมๆ กับการสนับสนุนการท่องเที่ยวให้ไปด้วยกันได้อย่างดี เห็นง่ายๆ ว่าถ้าจะดูปลาวาฬ ต้องไปซื้อตั๋วขึ้นเรือที่ Kaikorua Whale Watch ที่เดียว ซึ่งเป็นของรัฐบาล ทำให้เค้าสามารถควบคุมจำนวนเรือไม่ให้เข้าไปรบกวนปลาวาฬมากเกินไป แถมเจ้าปลาวาฬตัวยักษ์ของเราก็ใช่ว่าจะเห็นได้ง่ายๆ ต้องออกเรือไปหลายชั่วโมงกว่าจะเห็น มันจะขึ้นมาหายใจประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะตวัดหางสูง ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของรายการ ก่อนจะดำลึกลงสู่มหาสมุทร ระหว่างทางกลับเข้าฝั่ง ยังมี ปลาโลมดัสกี้ และปลาโลมาปากขวดว่ายน้ำเล่นแข่งกับเรือเป็นระยะๆ
ก่อนจะออกจากไคคู ร่า ก็อดที่จะหันหลังกลับไปชื่นชมความสวยของเมืองนี้อีกครั้งไม่ได้ ก่อนที่จะต้องเดินทางอีก 3 ชั่วโมง เพื่อไปยังเมืองที่คนไทยค่อนข้างคุ้นหูคุ้นตากันเป็นอย่างดี นั่นก็คือ ไครสท์เชิร์ช (Christchurch) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเกาะใต้
เรา เดินชมบริเวณส่วนใจกลางเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองอังกฤษนอกเกาะอังกฤษ" เริ่มต้นกันที่จตุรัสคาธิดรอลล์ (Cathedral) บริเวณนี้จะมีวิหารไคร์สเชิร์ช เป็นโบสถ์ประจำนิกายแองกิลกัน (Anglican) เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิก (Gothic) ที่สวยงาม ภายในมีหอคอยที่้ต้องเดินขึ้นบันไดไป 134 ขั้น เพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองไคร์สเชิร์ช ซึ่งจะมองเห็น Port Hills, Canterbury plains และ Southern Alps ไปจนถึงแม่น้ำเอวอน จะมีเรือค้ำถ่อแบบดั้งเดิมของอังกฤษให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
เมือง นี้ยังมีชื่อเล่นอีกชื่อนึงว่า New Zealands Garden City" เนื่องจากความสวยงามของต้นไม้ ดอกไม้ที่ร่มรื่นไปทั้งเมือง แถมเมื่อได้เดินเข้าไปยัง Botanic Gardens แล้ว จะยิ่งประทับใจเข้าไปอีก รู้สึกเหมือนกำลังฟอกปอดและเติมพลังชีวิตให้กับตัวเอง
ภาษาที่ใช้คือ ภาษาอังกฤษ แต่มีภาษาพื้นเมืองอยู่ คือ ภาษาเมารี ที่ควรทราบคือ Haere-mai (ฮาเอเร-มาอิ) หมายถึง สวัสดี ยินดีต้อนรับ Haere-ra (ฮาเอเร-รา) หมายถึง ลาก่อน Kia-ora (เคีย-โอรา) หมายถึง โชคดี
Must do: Te Papa Museum และ Wellington Cable Car ที่ Wellington
เดินเที่ยวชม Art Gallery และขึ้นรถแทรมชมเมืองที่ Christchurch
Must eat: Huka Prawn Park (http://www.hukaprawnpark.co.nz)
กุ้งมังกร และ หอยแมลงภู่ที่ ร้าน Claypot เมือง Kaikoura (http://www.claypot.co.nz)
Day 7: Chirstchurch - Mt.Cook - Queenstown Pure Inspiration at Queenstown
การ เดินทางของเราดำเนินมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายของรายการ ทำให้รา่งกายเริ่มจะออกอาการงอแง เล่นเอาเสียเวลาอยู่นานพอสมควร ถึงจะสามารถงัดตัวขึ้นมาจากที่นอนได้ ต้องขอบอกว่าวันนี้เป็นวันที่พวกเรารู้สึกเหนื่อยที่สุดของการเิดินทาง นอกจากจะเหนื่อยสะสมแ่ล้ว การเดินทางของวันนี้ยังทรหดมากๆ แถมโรงแรมที่นี่เล่นเอาพวกเราถึงกับเหงื่อตกท่ามกลางอากาศ 15 องศา เนื่องจากโรงแรมเป็นแบบอังกฤษโบราณที่มีเป็นแถวยาวๆ ไม่มีลิฟต์ แถมบันไดก็มีแค่อันเดียวเล็กๆ แคบๆ โอ้พระเจ้า...ใครเป็นคนจัดให้พวกเราพักอยู่ชั้น 3 เ้อ้าเหนื่อยกันตั้งแต่เริ่มวันเลย!
ออกจากเมืองด้วยทางหลวงหมายเลข1 โดยไม่หยุดพักที่ไหนเลยเป็นเวลา 3 ชั่วโมง เราก็ถึงที่ Lake Tekapo เป็นทะเลสาบเล็กๆ ที่มีน้ำเป็นสีฟ้า ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าทัสซอคส์สีเหลืองทอง บวกกับเทือกเขาแอลป์เป็นหลังฉากด้วยแล้ว ทำเอาพวกเราถึงกับอึ้งไปเลยทีเดีย แวะเดินเล่นถ่ายรูปที่ Church of the Good Shepherd โบสถ์เล็กๆ ติดกับทะเลสาบ ระหว่างทางเรายังแวะเที่ยวที่ Salmon Farm อีกด้วย รับรองว่าจะไม่ผิดหวังกับวิวสองข้างทางที่สวยและสงบมาก แล้วก็รีบเดินทางต่อไปยัง Mt.Aoraki หรือที่เรารู้จักกันดีว่า Mt.Cook พวกเราจองโต๊ะสำหรับมื้อกลางวันที่ Hermitage Hotel เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งเดียวบน Mt.Cook เติมพลังเสร็จแล้ว เราก็ออกไปตะลุยกันต่อ เราเลือกธารน้ำแข็งที่ใกล้ที่สุด นั่นก็คือ Hooker Glacier เนื่องจากเวลามีจำกัด เจ้าหน้าที่บอกว่าจะใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 20 นาทีก็ถึง แหมแค่ 20 นาที จิ๊บจ๊อยมาก เอาเข้าจริง พวกเราใช้เวลาถึง 45 นาที เส้นทางขรุขระมีการปีนป่ายเล็กน้อย บวกกับการโดนแซงเป็นระยะ เล่นเอาหอบกันเลยทีเดียว แต่ที่หมายก็สวยสมใจ ถึงแม้ตอนที่เราไป จะไม่ใช่ช่วงที่สวยที่สุด แต่ก็สวยสมกับที่ตั้งใจมา
กลับขึ้นรถคู่ใจ รีบตรงไปยังเมืองที่ Queenstown ซึ่งต้องขับไปอีกถึง 6 ชั่วโมงด้วยกัน ถนนที่นี่ค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าทางจะชันและคดเคี้ยวมากก็ตาม คนที่เมารถอาจจะต้องเตรียมตััวไว้แต่เนิ่นๆ สองข้างทางเป็นภูเขากับทุ่งหญ้า ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นการขับรถที่ไม่รู้จบ แต่เมื่อข้ามภูเขาลูกสุดท้าย ก็ต้องประหลาดใจที่หมายของเรา ลองนึกภาพเมืองเล็กๆ อยู่ริมทะเลสาบแล้วโอบล้อมด้วยภูเขาที่สูงตระหง่าน แถมภูเขาลูกนี้ยังเป็นฉากสำคัญฉากหนึ่งในหนังเรื่อง The Lord of The Ring อีกด้วย พวกเรารีบออกไปเที่ยวในเมืองซึ่งเปิดถึงสี่ทุ่ม สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ
สถาน ที่ที่ไม่ควรพลาดคือ Minus5 Bar เป็นบาร์ที่อยู่ใต้ดิน ทุกอย่างทำด้วยน้ำแข็ง ตั้งแต่เก้าอี้ไปจนถึงเเก้ว ทำให้อุณหภูมิค่อนข้าำงต่ำ วันที่พวกเราไป ติดดลบถึง 8 องศา ไม่ต้องกลัวว่าจะหนาว เพราะเค้ามีเสื้อกันหนาว, รองเท้า, แถมด้วยเครื่องดื่นจำพวกวอดก้า เตรียมพร้อมไว้ให้เสร็จสรรพ แค่ต้องเตรียมกล้องไว้ให้พร้อมก็พอ เพราะเค้าจำกัดเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
Day 8: Queenstown - Milford Sounds - Queenstown
อากาศ ตอนเช้าที่สดชื่นแบบสุดๆ กับสายหมอกขาวๆ ปกคลุมยอดเขาสีเขียวที่ตัดกับสีน้ำเงินของทะเลสาบ ทำให้เมืองนี้เป็นอีกเมืองหนึ่งที่พวกเราประทับใจมาก วันนี้พวกเราต้องขับรถไกลอีกเช่นเคย
เกาะใต้มีทัศนียภาพที่สวยงาม กว่าเกาะเหนือ ตามความคิดของพวกเรา อาจจะเพราะอากาศที่เย็น และชุ่มชื้นกว่า ทำให้สองข้างทางมีแต่สีเขียว ผิดกับเกาะเหนือที่วิวสองข้างทาง ดูแล้วค่อนข้างแห้งแล้งกว่า พวกเราใช้เวลาครึ่งวันในการขับรถไปชมมรดกโลกชิ้นนี้
ทางที่จะไปค่อน ข้างลื่นและชันมาก บางฤดูหิมะตกไม่สามารถเข้าไปได้ เคยมีนักท่องเที่ยวหลายคนที่ับรถไปจนเกือบถึงแล้วหิมะตก ต้องกลับออกมา ถือว่าน่าเสียดายมาก พวกเราทำเวลาไปถึงที่ Milford Sounds เร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากอยากใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานๆ บริษัทเรือที่พวกเราจองไว้ ก็ใจดีเลื่อนเเวลาให้พวกเราได้ขึ้นเรือเที่ยวที่เร็วที่สุด ถือว่าเป็นครั้งแรกของพวกเราที่ได้มาเยือนมรดกโลก ซึ่งตอนอ่านรายละเอียดก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แต่ได้มาจริงๆ แล้ว ความยิ่งใหญ่และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติมันช่างประทับใจจริงๆ คิดดูก็แล้วกันว่า เวลาแค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ บนเรือ พวกเราเห็นทั้ง แมวน้ำ นอนอาบแดดอย่างสบายใจ, ปลาโลมาที่ว่ายตามเรือ, ทีเด็ดก็คือ น้ำตกสีฟ้าจัด เนื่องจากเกิดจากการละลายของหิมะ ที่มีรุ้งพาดผ่านก่อนที่จะไหลลงทะเลลึกสีคราม เล่นเอา memory ในกล้องถึงกับเต็ม
ขากลับพวกเราแวะถ่ายรูปที่ Mirror Lake เป็นทะเลสาบเล็กๆ ที่น้ำนิ่งมาก ขนาดที่เราสามารถเห็นเงาสะท้อนของภูเขาได้อย่างชัดเจน ระหว่างนั้นก็มีเจ้านก Kea (นกแก้วป่าที่มีอยู่ทั่วไปในนิวซีแลนด์) เข้ามาร่วมวงด้วย พวกเราลืมปิดกระจกรถ ทำให้ต้องใช้เวลานานกว่านกตัวแสบนี้่จะยอมออกมา พวกเราแวะทาน Hamburger ระหว่างทางก่อนที่จะขับรถยิงยาวกลับไป Queenstown คืนนี้พวกเราก็ออกมาเดินเ่ล่นในเมืองอีก รู้สึกใจหายแปลกๆ อาจจะเพราะว่าหลงรักเมืองเล็กๆ เมืองนี้จนยังไม่อยากจากไปก็ได้
Day 9: Queenstown-Christchurch
วันนี้ ถือว่าเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะได้ใช้เวลาในประเทศนี้แล้วก็ว่าได้ พวกเราต้องขับรถย้อนกลับไปที่ Christchurch ซึ่งค่อนข้าไกลพอสมควร ประมาณจากกรุงเทพไปภูเก็ต ระหว่างทางเราได้แวะไปชมสถานที่เล่นบันจี้จัมพ์ (Bungy Jump) ซึ่งเดิมทีตั้งใจไว้ก่อนมาเยื่อนประเทศนี้ว่า จะต้องเล่นสให้ได้ แต่พอได้เห็นของจริงก็ถึงกลับเปลี่ยนใจ มันช่างสูงเหลือเกิน จึงหันไปหาฝ่ายชายที่เป็นตัวตั้งตัวตี แต่แล้วก็ได้คำตอบในแนวว่าวันนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน สุดท้ายก็ไปถึง Christchurch ตอนค่ำๆ จึงได้แต่เดินเล่นในเมืองเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่จะอำลาประเทศนี้ในตอนเช้า ตรู่
Day 10: Christchurch - Aluckland - Bangkok
ระหว่าง ที่นั่งรอเครื่องบิ้นอยู่ที่สนามบิน Auckland อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหวอดังขึ้น พร้อมกับเสียงประกาศให้อพยพออกจากบริเวณสนามบิน ตกใจมากนึกว่ามีการก่อการร้าย พอเวลาผ่านไป 30 นาที ก็ได้ยินเสียงประกาศว่า ขอขอบคุณในความร่วมมือในการซ้อมอพยพหนีภัย แหม! นึกว่าจะได้อยู่ที่ต่อซะแล้วเชียว
Must Do: Minus 5 Bar ที่เมือง Queenstown ราคา 25$ NZ / 1 ท่าน (http://www.minus5experience.com) Bungy Jump ที่ AJ Hackett เมือง Queenstown (http://www.bungy.co.nz) นั่งเรือ Cruise ชม Millford Sound (http://www.redboats.co.nz) Shotover Jet Boat สุดยอดความตื่นเต้นในการนั่งเรือเร็ว (http://www.shotoverjet.com)